วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

ปรัชญาการศึกษาหลักสูตร

ปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษา
1. ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism)

2. ปรัชญาสาขานิรันตรนิยม (Perenialism)

3. ปรัชญาพิพัฒนนิยม (Progressivism)

4. ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)

5. ปรัชญาสาขาผสมผสาน (Eclecticism)


          1.ปรัชญาสาขาสารัตถนิยม
          สารัตถะ (Essence) หมายถึง สาระ หรือเนื้อหาที่เป็นหลักเป็นแก่นเป็น สิ่งสำคัญ 
ปรัชญาสารัตถนิยมในทางการศึกษาก็คือ ปรัชญาที่ยึดเนื้อหาเป็นหลักสำคัญ ของการศึกษาและเนื้อหาที่สำคัญก็ต้องเน้นเนื้อหาที่ได้มาจากมรดก ทางวัฒนธรรม มีลักษณะหันไปหาและยึดกับอดีต ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ความเชื่อและเนื้อหาของอดีตนั้นคงอยู่ 
จุดมุ่งหมายของการศึกษาปรัชญาสาขาสารัตถนิยม 
1. ให้การศึกษาในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระ ( Essential subject-matter ) อันได้จากมรดกทางวัฒนธรรม
2. ให้การศึกษาเพื่อการเรียนรู้ในเรื่องของความเชื่อ ทัศนคติและค่านิยมของสังคมในอดีต
3. ธำรงรักษาสิ่งต่างๆในอดีตเอาไว้
นอกจากนี้ปรัชญาสารัตถนิยมยังมุ่งการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีระเบียบวินัยทำงานหนัก ใช้สติปัญญามากและรักษาอุดมคติอันดีงามของสังคมไว้ จุดมุ่งหมายของการศึกษาในปรัชญาแนวนี้จึงคลุมทั้งระดับใหญ่คือ สังคมและระดับบุคคลพร้อมกันองค์ประกอบของการศึกษาตามปรัชญาสาขาสารัตถนิยม
หลักสูตร ครู ผู้เรียน

          1. หลักสูตร 
           เป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาเป็นหลักสำคัญเนื้อหาหลักๆก็คือเนื้อหาที่เกี่ยว กับความรู้ พื้นฐาน เช่น ภาษา ประวัติศาสตร์ คำนวณ นอกจากนี้หลักสูตรก็จะต้อง เน้นเนื้อหาที่ควรเน้นเป็นพิเศษคือเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปะค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมที่ควรรักษาไว้ในขณะเดียวกันความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่บรรจุไว้ในหลักสูตรของปรัชญากลุ่มนี้
การคัดเลือกและสรรหาเนื้อหาในหลักสูตรรวมถึงการร่างหลักสูตรเป็นหน้าที่ของ ครูหรือผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเพราะครูและผู้เชี่ยวชาญเป็นคนซึ่งได้ผ่านการศึกษาอบรมอยู่แล้ว แบบแผนของหลักสูตรจึงมักจะเป็นแบบเดียวกันทั่วประเทศเพราะเป็นสิ่งที่ ควรธำรงรักษาและให้ได้มาตรฐาน อันเดียวกัน

           2. ครู 
          ปรัชญาสาขาสารัตถนิยมนี้ ครูเป็นบุคคลสำคัญอย่างมากเพราะครูเป็นผู้ที่กำหนด ตัดสิน และดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด ครูจึงมีบทบาทและความสำคัญอย่างมาก ถ้าได้ครูดีการศึกษาจะดำเนินไปด้วยดี การปรับปรุงและการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจึงเริ่มที่ครูก่อน


          3. ผู้เรียน
        ผู้เรียนจะเป็นผู้เรียนรู้เป็นผู้สืบทอดค่านิยมไว้และสืบต่อให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยเหตุนี้สถาบันการศึกษาจึงควรจะให้ความสนใจแก่เด็กเป็นพิเศษ 

กระบวนการของการศึกษาตามปรัชญาสาขาสารัตถนิยม 
          1. กระบวนการเรียนการสอน
          การเรียนการสอนจึงขึ้นอยู่กับครูเป็นสำคัญ คือ ครูจะเป็นผู้อธิบาย ชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจตามให้ได้ลักษณะ การเรียนการสอนจึงเป็นไปในลักษณะที่เขียนเป็นแผนภาพง่ายๆ คือ
เนื้อหา
ครู นักเรียน 
อธิบาย
ผู้รู้ ผู้ไม่รู้ (รู้น้อย)
ทำความกระจ่าง
ผู้รู้ดี ผู้ไม่รู้ชัดเจน


          วิธีการเรียนและสอนในปรัชญาแนวนี้จึงเน้นการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก แต่จะใช้วิธีการอื่นประกอบด้วยก็ได้ นอกจากนี้ก็ยังต้องการเน้นการฝึกฝนและสร้างผู้นำ ในกลุ่มด้วยโดยเหตุนี้การเรียนตามปรัชญาการศึกษานี้จึงเป็นงานหนักซึ่งเด็กทุกคน ถ้าทำงานหนักทุ่มเทให้กับการเรียนเต็มที่แล้วก็จะเรียนได้ดี การจัดห้องเรียนก็จะต้อง มีแบบแผนที่ชัดเจนเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่นั่งเรียนเป็นแถว ครูอยู่หน้าห้องเรียน การจัดเวลาเรียนตารางสอนแน่นอนตามเวลาตายตัวการยืดหยุ่นมีได้บ้างแต่ครูจะต้อง เป็นผู้กำหนดเอง
          2. กระบวนการบริหาร 
           ระบบบริหารเป็นแบบสั่งงาน (Bureaucratic Model) เป็นการบริหาร แบบรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ผู้บริหารจะเป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการและ ให้คำวินิจฉัยตัดสินปัญหาแต่เพียงคนเดียวคนอื่นๆ จะเป็นแต่เพียงผู้คอยรับคำสั่ง การบริหารจะยึดกฎเกณฑ์ยึดระเบียบยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลักสำคัญ 

          3. บทบาทของโรงเรียนต่อชุมชน
           มุ่งที่จะให้รู้เข้าใจจดจำนำไปใช้ได้ภายหลังสำหรับการรักษาและถ่ายทอดไว้ให้ กับคนรุ่นหลัง โรงเรียนมีบทบาทในฐานะที่เป็นเครื่องมือของสังคมเพื่อการเรียนรู้เข้าใจ เรื่องราวของสังคม ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็พยายามที่จะให้เด็กเห็นคุณค่าของ วัฒนธรรมประเพณีเหล่านั้นเป็นหลักโดยเน้นการถ่ายถอดวัฒนธรรมและรักษาไว้เท่านั้น เพื่อความสงบสุขของสังคม
ข้อจำกัดตามปรัชญาสาขาสารัตถนิยม 
1. โอกาสที่เด็กจะมีความคิดริเริ่ม เป็นตัวของตัวเองมีน้อย
2. เด็กมักจะไม่กล้าแสดงความเห็น ไม่กล้าแสดงออก คอยแต่รับฟัง
3. ไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็กเท่าที่ควร
4. ถึงมีการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง แต่การเปลี่ยนแปลงก็มักยึดของเดิมอยู่มาก
5. ไม่คำนึงถึงหลักการของประชาธิปไตยมากเท่าที่ควร
6. มักจะได้ประโยชน์โดยตรงกับคนกลุ่มน้อย

2.ปรัชญาสาขานิรันตรนิยม 
          ปรัชญาสาขานิรันตรนิยม นิรันตร (Perennial) นี้ โดยคำก็หมายถึง สิ่งซึ่งคงที่ ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดรปรัชญาแนวนี้จึงเชื่อว่ากาศึกษาควรจะได้สอนสิ่งซึ่งเป็นนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลงมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด
          จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาสาขานี้มีจุดมุ่งหมายที่การสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์เป็นคน ที่แท้จริง สร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ได้นั้นก็จะต้องรู้จักและเข้าใจตัวเองพร้อมทั้งเห็นว่า ตัวเองนั้นมีพลังธรรมชาติอยู่ภายในแล้ว พลังธรรมชาติในที่นี้ก็คือสติปัญญาของมนุษย์ ถ้าสติปัญญาได้รับการขัดเกลาและพัฒนาอย่างดีพอ มนุษย์ก็จะทำอะไรอย่างมีเหตุผลเสมอ เป้าหมายของการศึกษาจึงควรเป็นไปเพื่อการพัฒนาคุณสมบัติในเชิงของสติปัญญาและ เหตุผลในตัวมนุษย์

องค์ประกอบของการศึกษาตามปรัชญาสาขานิรันตรนิยม 
          1. หลักสูตร
          เป้าหมายของหลักสูตรในแนวนี้ก็คือ การฝึกฝนให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่รู้จักใช้สติปัญญา เหตุผล และความรู้อย่างอิสระมีความคิดความอ่านกว้างขวาง ไม่ถูกครอบงำด้วยอวิชชา หรืออำนาจใฝ่ต่ำ หรือความไม่มีเหตุผลอื่นๆหลักสูตรตามปรัชญาการศึกษาสาขานี้ ให้ศึกษาเนื้อหาเช่นเดียวกับสารัตถนิยมแต่ สารัตถนิยมเน้นเนื้อหาเพื่อการเรียนรู้เข้าใจในฐานะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแต่นิรันตรนิยม ถือว่าเนื้อหาเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความสามารถทางปัญญาเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้นำที่ล้ำเลิศ ทางปัญญา 

          3. นักเรียน 
          เด็กเป็นผู้มีสติปัญญา มีศักยภาพอยู่ในตัวเองแล้วการเรียนรู้ และสติปัญญาจะเกิดขึ้นได้ดีก็ด้วยการฝึกฝนของเด็กเองด้วย ซึ่งตาม ปรัชญาสาขานี้ถือว่าเด็กมี ความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนอยู่แล้ว อย่างที่อริสโตเติลพูดไว้ว่า “All men by nature desire to know” ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้ธรรมชาติของการอยากรู้อยากเห็นนี้เกิด
ประโยชน์ 

          กระบวนการของการศึกษาตามปรัชญาสาขานิรันตรนิยม 
          1. กระบวนการเรียนการสอน 
วิธีการเรียนการสอนเน้นการกระตุ้นและหนุนให้ศักยภาพของนักเรียนได้พัฒนาเติบโต มีความสมบูรณ์เต็มที่วิธีการที่สำคัญจึงเป็นวิธีการของ การถกเถียง อภิปรายการใช้เหตุผล สติปัญญาโต้แย้งกันการเรียนการสอนในปรัชญาสาขานี้จึงเน้นเหตุผลและสติปัญญา เป็นหลักสำคัญ

          2. กระบวนการบริหาร 
การบริหารตามปรัชญานิรันตรนิยมนี้ก็ยึดหลักของเหตุผล เช่นเดียวกัน กฎเกณฑ์ระเบียบมีอยู่แต่ควรจะใช้อย่างมีเหตุผลไม่ใช่ใช้ตามตัวอักษรแต่เพียง อย่างเดียวระเบียบปฏิบัติบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ควรได้รับการแก้ไขให้มีความเหมาะสมมากขึ้น

          3. บทบาทต่อสังคม 
ปรัชญาการศึกษาสาขานี้ไม่มีผลโดยตรงต่อสังคม เพราะเน้นที่ตัวบุคคล เป็นใหญ่แต่มีผลโดยทางอ้อมกับการสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อม ทางสังคม มองอีกด้านหนึ่งปรัชญาในแนวนี้ก็เช่นเดียวกัน กับสารัตถนิยม คือ ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ 

ข้อจำกัดตามปรัชญาสาขานิรันตรนิยม 
1. คนเรานั้นไม่ได้อยู่กับเหตุผลอย่างเดียวเราอยู่ด้วยความรู้สึกและการกระทำ ต่างๆ ประกอบกัน 
2. ลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นสติปัญญามากนั้นจะมีลักษณะเป็นทฤษฎี มากเกินไป
3. การจัดการศึกษาตามแนวของปรัชญานี้ต้องการเวลามาก และจะต้องมี ตำรับตำราเพียงพอ อีกทั้งครูจะต้องทำงานหนักเป็นนักคิดนักใช้เหตุผลด้วยซึ่ง ทำได้ไม่ง่ายนัก

3.ปรัชญาสาขาพิพัฒนนิยม
          แนวคิดหลักของการศึกษาแบบพิพัฒนานิยม ก็คือการศึกษาจะต้องพัฒนา เด็กทุกด้านไม่เฉพาะสติปัญญาเท่านั้น โรงเรียนมีความสัมพันธ์มากขึ้นเด็กจะต้อง พร้อมที่จะไปอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ปรับตัวได้อย่างดี กระบวนการเรียนการสอน จึงมีความสำคัญพอๆกับเนื้อหา เรื่องของปัจจุบันมีความสำคัญกว่าอดีตหรืออนาคต 
          จุดมุ่งหมายของการศึกษาตามปรัชญาพิพัฒนนิยม
          การศึกษาตามปรัชญาพิพัฒนนิยมมองว่าการศึกษาจะต้องให้การศึกษาทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม อาชีพ และสติปัญญาควบคู่กันไปกับความสนใจ ความถนัด และลักษณะพิเศษของผู้เรียนควรได้รับความสนใจและได้รับการส่งเสริม ให้มากที่สุด สิ่งที่เรียนที่สอนควรเป็นประโยชน์สัมพันธ์สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน และสังคมของผู้เรียนให้มากที่สุด 
องค์ประกอบของการศึกษาตามปรัชญาพิพัฒนนิยม 
          1. หลักสูตร 
         หลักสูตรในปรัชญาสาขานี้ เน้นที่ประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นหลักสำคัญ 
ประสบการณ์นั้นควรเป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสังคมเนื้อหาที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือ สังคมศึกษา และวิชาการสื่อความหมายเพื่อประโยชน์ในชีวิต ประจำวัน (ภาษา) วิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ก็ถือว่าสำคัญแต่เป็น ความสำคัญในแง่ของวิธีการคือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific medthod)

          2. ครู
          ในปรัชญาสาขานี้ทำหน้าที่ คือการเตรียมการแนะนำและการให้คำปรึกษาเป็น หลักสำคัญ
บทบาทที่สำคัญของครู คือ ครูจะต้องเป็นผู้กระตุ้น หนุน และหนี ในระยะแรกครู จะต้องกระตุ้นให้เด็กได้สนใจด้วยตนเอง เมื่อเด็กทำเองได้แล้ว ฃครูจึงควรจะหนีออกให้ เด็กทำเอง เรียนรู้เอง คอยดูแลอยู่ห่างๆลักษณะของครูตามปรัชญาสาขานี้จะต้องมี บุคลิกที่ดี เห็นอกเห็นใจและเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก 

          3. นักเรียน 
          ผู้เรียนมีอิสระที่จะเลือกตัดสินใจด้วยตนเองมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนและมีส่วนที่จะเลือกเนื้อหาและกิจกรรมที่ตนเองสนใจได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า นักเรียนจะร่างหลักสูตรหรือกำหนดกิจกรรมเสียเอง แต่เป็นการทำงาน ร่วมกัน เพื่อให้การเรียนการสอนตรงตามความต้องการของผู้เรียนเหมาะสมแก่ความถนัด และความสามารถของนักเรียนมากขึ้น
กระบวนการของการศึกษาตามปรัชญาพิพัฒนนิยม 
1. กระบวนการเรียนการสอน 
(1) การเรียนการสอนเน้นที่ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
(2) การเรียนการสอนควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผน
(3) ครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง
(4) เด็กควรได้รับประสบการณ์ตรงในเรื่องที่ศึกษา
(5) เด็กควรได้รับประสบการณ์ที่น่าสนใจ ชักจูงใจ เช่น การใช้ภาพยนตร์ สไลด์ เชิญวิทยากร ฯลฯ
(6) ผู้เรียนควรได้รับความช่วยเหลือให้รู้จักวิเคราะห์ปัญหาหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
(7) ผู้เรียนควรได้รูจักการวางโครงการ ดำเนินโครงการ วิเคราะห์ และประเมินโครงการต่างๆ ได้ อย่างเหมาะสม
(8) ส่งเสริมประชาธิปไตยและความร่วมมือกันในการเรียนการสอน
(9) การเรียนควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องเกี่ยวพันกันตลอดเวลา

2. กระบวนการบริหาร 
การบริหารตามปรัชญาสาขานี้ ถือหลักเดียวกับการเรียนการสอน คือ การร่วมมือกัน โรงเรียนจะมีคณะกรรมการโรงเรียนซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลหลายฝ่ายมารวมกันปรึกษา วางนโยบายและตัดสินปัญหาต่างๆ ของโรงเรียน ผู้บริหารจะเป็นผู้ดำเนินงานไปตามข้อตกลง หรือตามมติของคณะกรรมการ

3. บทบาทของโรงเรียนต่อชุมชน 
การศึกษาเป็นวิธีการหลักในการปฏิรูปหรือปรับปรุงสังคม ก่อนอื่นโรงเรียน จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมเสียก่อน ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม โรงเรียนก็จะมีโอกาสสร้างนักเรียนในลักษณะใหม่ ที่มีสติปัญญา มีความพร้อม มีความรู้จักและเข้าใจสังคมอย่างดีพอ ออกไปปรับปรุงและพัฒนาสังคมได้

ข้อจำกัดตามปรัชญาพิพัฒนนิยม 
ในสังคมที่ยึดระเบียบแบบแผนประเพณีอย่างมากนั้นปรัชญาพิพัฒนนิยม อาจจะก่อให้เกิดปัญหากับสังคมและตัวเด็กเองได้ เพราะถ้าในโรงเรียนส่งเสริม อิสรเสรี แต่นอกโรงเรียนยึดแต่ประเพณีเด็กก็จะเกิดความขัดแย้งในใจและก่อให้เกิด ความสับสน 

4.ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม
          ปรัชญาการศึกษาสาขาพิพัฒนนิยมที่มีจุดมุ่งหมายในส่วนที่เกี่ยวกับสังคมข้อหนึ่ง คือ การศึกษามีความสัมพันธ์กับสังคม แต่ปรัชญาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) นี้ไปไกลกว่านั้น คือ เห็นว่าการศึกษาควรจะช่วยปรับปรุงพัฒนา หรือกล่าวรวมๆ ว่าปฏิรูปสังคมนั้นเอง 
จุดมุ่งหมายของการศึกษาของปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม
1. การศึกษาจะต้องช่วยแก้ปัญหาของสังคม
2. การศึกษาจะต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริม พัฒนาสังคมโดยตรง
3. การศึกษาจะต้องมุงสร้างระเบียบใหม่ของสังคมจากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่
4. ระเบียบใหม่ที่สร้างขึ้นรวมทั้งวิธีสร้างต้องอยู่บนรากฐานของประชาธิปไตย
5. การศึกษาจะต้องให้เด็กเห็นความสำคัญของสังคมควบคู่ไปกับตนเอง

          องค์ประกอบของการศึกษาของปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม
          1.หลักสูตร
          ผู้เรียนจะต้องเข้าใจหลักและเข้าใจสภาพของสังคมอย่างดี โดยทั่วไป หลักสูตรในสาขานี้จะประกอบไปด้วยกลุ่มต่างๆ คือ กลุ่มปฐมนิเทศ สร้างแรงจูงใจ กลุ่มเศรษฐกิจและการเมือง กลุ่มทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มศิลปะ กลุ่มการศึกษา กลุ่มมนุษยสัมพันธ์ กลุ่มเทคนิคและ วิธีการต่างๆ

          องค์ประกอบของการศึกษาของปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม
          ในแต่ละกลุ่มการศึกษาในสภาพปัจจุบันและความเป็นมาพร้อมกันไปซึ่งทำ ให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและมองเห็นสาเหตุของปัญหาได้ชัดเจนและศึกษาจาก สภาพที่ใกล้ตัวขยายอออกไปถึงสังคมวงนอก นอกจากนั้นในแต่ละระดับก็จะ จัดเนื้อหาให้มีความซับซ้อนแตกต่างกันออกไป ในระดับมหาวิทยาลัยควรจะ เน้นวิจัยเป็นพิเศษ
         2.ครู 
          ครูจะต้องเป็นนักบุกเบิก เป็นนักแก้ปัญหา สนใจและใฝ่รู้ในทุกเรื่องครูจะต้องมี ทักษะในการรวบรวม สรุป และวิเคราะห์ปัญหา (วิจัย) ให้ผู้เรียนเห็นได้
ลักษณะสำคัญของครูในปรัชญานี้อีกประการหนึ่งก็คือมีความเป็นประชาธิปไตย

          3.นักเรียน
          เด็กจะเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตังเองน้อยลง แต่เห็นประโยชน์ ของสังคมมากขึ้น เด็กจะได้รับการปลูกฝังให้เรียนรู้วีธีการทำงานร่วมกันนักเรียนควรที่จะได้เรียนรู้และรับทราบถึงข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด และเปิดเผยตรงไปตรงมา และควรจะได้หาข้อสรุปอันเป็นทางเลือกที่ เหมาะสมและยุติธรรม

          กระบวนการของการศึกษาของปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม
          1. กระบวนการเรียนการสอน 
          ให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง ลงมือทำเอง มองเห็นปัญหา และเข้าใจเรื่องราว ต่างๆ ด้วยตนเอง 
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งทฤษฏีและปฎิบัติจะควบคู่กันไปในกรณีที่ การปฏิบัติจริงกระทำไม่ได้ก็จะใช้บทบาทสมมุติ (Role Play) แทนแต่เป้าหมาย ปลายทางจะต้องคำนึงถึงการนำความรู้ไปใช้ได้ด้วย

          2.กระบวนการบริหาร 
          ยึดหลักของการบริหารแบบประชาธิปไตยจะต้องจ่ายอำนาจไปอย่าง แท้จริงในโรงเรียน  ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนจะต้องมีบทบาทในการวางนโยบายและ การดำเนินการให้มากที่สุด

         3.บทบาทของโรงเรียนต่อชุมชน 
         ร่วมแก้ปัญหาของสังคมและส่งเสริมสนับสนุนรวมทั้งสร้างสังคมใหม่ที่เหมาะสม ถูกต้อง เป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตย

ข้อจำกัด
ถ้าระบบและบรรยากาศทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว ปรัชญาการศึกษาสาขานี้ก็สำเร็จได้ยาก การที่โรงเรียนจะไปเปลี่ยนระบบค่านิยม ของสังคมก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อย เว้นแต่สังคมนั้นจะมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลง อยู่แล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นเหมาะสมกับ สภาพและปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม

5.ปรัชญาการศึกษาผสมผสาน

          เนื่องจากปรัชญาการศึกษาแต่ละปรัชญาล้วนมีแง่มุมและมีจุดเด่นกันไปคนละ แบบจึงมีการเอาประเด็นต่างๆของปรัชญามากกว่า 1 ปรัชญามาผสมผสานขึ้นเพื่อ นำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการ
การจัดกระบวนการเรียนรู้ของปรัชญาการศึกษาผสมผสาน
          1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ ผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
          2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
           3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น และทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
         4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ในทุกวิชา
         5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถ ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ 
         6. จัดการเรียนรู้ ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่มีการประสานความร่วมมือ กับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตาม ศักยภาพ

แหล่งอ้างอิง
https://prezi.com/jltnrddmpf2x/philosophy-of-education/


                                                                                                                                          จัดทำโดย
นาย ทิวานนท์  โพธิ์โต
วิศวกรรมอุตสาหการ
                                                                                                                                   356120251018

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร

                แนวคิดของคาร์ล โรเจอร์

                คาร์ล อาร์ โรเจอร์ จะเน้นการเรียนรู้ในประเด็นที่ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าผู้เรียนมีแรงจูงใจ มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ในสิ่งนั้น บรรยากาศของการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่สนับสนุนกิจกรรมการสอนที่ปฏิบัติกันอยู่เพราะเป็นการบังคับให้ผู้เรียนเรียนในสิ่งที่ครูอยากจะให้เขารู้ จึงมีความเชื่อว่า การสอนหรือการถ่ายทอดความรู้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อสังคมหยุดอยู่กับที่ไม่เปลี่ยนแปลง คาร์ล โรเจอร์ จะไม่เน้นการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เน้นถึงบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้มีองค์ประกอบที่สำคัญ ประการ ดังนี้
1.ความจริง หมายถึง ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้จะต้องประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นไปตามความเป้นจริงตามธรรมชาติ หรือแก่นแท้ของตนเอง
2.การยอมรับและการให้เกียรติผู้เรียน หมายถึง ครูหรือผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ จะมีทัศนคติเกี่ยวกับการยอมรับ ไว้ใจ และให้เกียรติต่อความรู้สึก ความเชื่อ ความคิดเห็นของผู้เรียน และผู้เรียนต้องยอมรับว่าบุคคลทุกคนต่างก็มีความหมายในตัวของตนเอง
3.ความเข้าใจ จะเป็นตัวเสริมสร้างบรรยากาศที่ดี เป็นความเข้าใจที่เกิดจากความเป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่มีการประเมินเข้ามาเกี่ยวข้อง ในทำนองรู้จักเอาใจเรามาใส่ใจเขา ไม่ตำหนิติเตียน

แนวคิดของอาเทอร์ โคมส์

อาเทอร์ เป็นศิษย์คนสำคัญของคาร์ล โรเจอร์ ที่พยายามเผยแพร่การเรียนรู้ด้านแรงจูงใจ และเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้เชิงเชิงจิตลักษณะเชื่อว่าเจตคติ ความรู้สึก และอารมณ์ของนักเรียนมีความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ประการ ดังนี้
1.       สมององคนเราเกี่ยวข้องกับความหมายโดยตรง
2.       การเรียนรู้คือการค้นพบความหมายของแต่ละคน
3.       ความรู้สึกและอารมณ์เป็นเสมือนดัชนีของความหมาย
4.       องค์ประกอบเชิงความรู้สึกที่ใช้ในการเรียนรู้
อาเทอร์ โคมส์ ได้ตั้งข้อสังเกตและข้อเตือนใจไว้ว่า ในบางครั้งความจริงเกิดขึ้นเหมือนกันที่ผู้สนับสนุนความสำคัญของความหมายได่ทุ่มเทและยึดอยู่กับความเข้าใจตนเอง ค่านิยม หรือความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งมากกว่าลักษณะปกติของหลักสูตร และจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่วงการจัดการศึกษาเชิงจิตลักษณ์ แต่ความผิดพลาดยังเสียหายน้อยกว่าความผิดพลาดของคนที่ไม่ยอมรับ และไม่ทราบถึงธรรมชาติหน้าที่สำคัญของความรู้สึก และอารามณ์ที่เกิดจากการวิจัยและทฤษฎี
                แนวคิดของกลุ่มแรงจูงใจ จะมีประโยชน์อย่างมากในการวางแผนเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิผลคือ เน้นบรรยากาศการเรียนการสอนที่ให้ความสบายใจแก่ผู้เรียน และการยอมรับคุณค่าของกันและกันระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกัน นอกจากนี้การจัดหลักสูตรโดยอาศัยแนวคิดของกลุ่มแรงจูงใจจะเน้น และให้ความสำคัญในการปลูกฝังทางด้านจิตลักษณะ ได้แก่ ความรู้สึก เจตคติ และบุคลิกภาพที่ดี (ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล,  ม.ป.ป.:109-115)
               
          แนวคิดของราล์ฟ ดับเบิลยู ไทเลอร์ 
                ให้หลักการและเหตุผลในการสร้างหลักสูตรไว้ 4 ประการ ซึ่งเรียกว่า "Tyler's rationale" โดยเขาให้หลักเกณฑ์ไว้ว่าในการจัดหลักสูตรและการสอนนั้น ควรจะตอบคำถามที่เป็นพื้นฐาน 4 ประการ ไทเลอร์เน้นว่าคำถามจะต้องเรียงลำดับกันลงมา   ดังนั้นการตั้งจุดมุ่งหมายจึงเป็นขั้นที่สำคัญที่สุดของไทเลอร์

คำถามพื้นฐาน 4 ประการ
1.  What is the purpose of the education? (มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจะ แสวงหา)
2.  What educational experiences will attain the purposes? (มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
3.  How can these experiences be effectively organized? (จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ)
4.  How can we determine when the purposes are met? (จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร  จึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
    หลักการสร้างหลักสูตร
    1.  การวางแผนหลักสูตร (Planning)
    2.  การออกแบบหลักสูตร (Design)
    3.  การจัดการหลักสูตร (Organize)
    4.  การประเมินหลักสูตร (Evaluation)
      โดยเมื่อนำหลักการนั้นมาเทียบเคียงกันจะพบว่ามีความสัมพันธ์กันดังต่อไปนี้

      คำถามพื้นฐาน ประการ
      หลักการสร้างหลักสูตร
      What is the purpose of the education?
      การวางแผนหลักสูตร (Planning)
      What educational experiences will attain the purposes?
      การออกแบบหลักสูตร (Design)
      How can these experiences be effectively organized?
      การจัดการหลักสูตร (Organize)
      How can we determine when the purposes are met?
      การประเมินหลักสูตร (Evaluation)



      Tyler’s Model of Curriculum Development


                    โมเดลการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์นี้ ได้ดัดแปลงมาจากโมเดลของ Ornstein and Hunkin (1998) โดยได้นำคำถามที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำหลักสูตรของไทเลอร์ (สัญลักษณ์ Q) มากำกับในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามหลักการของไทเลอร์
                     การสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึง การกำหนดจุดมุ่งหมาย การกำหนดประสบการณ์ทางการศึกษา การจัดประสบการณ์ทางการศึกษาให้ผู้เรียน และการประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตรด้วย โดยรูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์เริ่มจาก

      คำถามข้อที่ 1: What is the purpose of the education? (Planning)


                     จากคำถามข้อที่ คือการวางแผนในการกำหนดจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ว่า จะสอนอะไร เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์แบบชั่วคราว หรือ Tentative Objectives เราต้องดูว่าจะสอนอะไรเด็กและจะเอาอะไรมาสอน ทั้งนี้ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ หรือSourcesแหล่งแรกคือสังคม ได้แก่ ค่านิยม ความเชื่อ และแนวปฏิบัติในการดำรงชีวิตในสังคม โครงสร้างที่สำคัญในสังคม และความมุ่งหวังทางสังคม แหล่งที่สองเกี่ยวกับผู้เรียนซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการความสนใจความสามารถและคุณลักษณะที่ประเทศชาติต้องการ แหล่งที่สามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ

                       Sources หรือแหล่งที่มาประการแรกที่ต้องพิจารณาได้
      1)    Subject matter หรือว่าผู้รู้ สำหรับผู้รู้ในสถานศึกษา ก็คือ โรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคมที่พวกเราเลือกและเข้าไปสอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสภาพทั่วไป ข้อมูลพื้นฐาน และหลักสูตรสถานศึกษา ได้แก่ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ อาจารย์ประจำวิชา และนักศึกษาฝึกสอน นอกจากนี้ Subject matter ยังรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา เช่น นักการ ภารโรง แม่ค้า ชาวบ้าน เป็นต้น
      2)    Learner คือด้านผู้เรียน เหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านผู้เรียนก็เนื่องจากว่า
            เราจะพัฒนาความรู้ด้านพุทธิพิสัยหรือ cognitive domain ของเด็ก ได้แก่ ด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
            พัฒนาด้านภาษาศาสตร์ (linguistic)
            พัฒนาด้านจิตสังคม ปลูกฝังให้เด็กมีจิตสาธารณะ
            พัฒนาด้านจิตพิสัย และคุณธรรม
            เน้นด้านอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต
      3)    Society  คือด้านสังคม เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคม จะครอบคลุมถึงครอบครัว ศาสนา และการศึกษา นอกจากนี้ยังมีเรื่องระบบการศึกษาไทยและแผนพัฒนาการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านสังคมก็เพราะว่าเราจะนำความรู้ไปพัฒนาทักษะด้านต่างๆของผู้เรียน ได้แก่ การอ่านออกเขียนได้ ทักษะด้านอาชีพ การจัดระเบียบทางสังคมและด้านคุณธรรม ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ การถ่ายทอดค่านิยมทางความคิดและวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม

      คำถามข้อที่ 2: What educational experiences will attain the purposes? (Design)


                      จากคำถามข้อที่ ของไทเลอร์ ประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่สามารถจัดได้และสนองตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ทำให้เกิดหลักการออกแบบหลักสูตร โดยมีหลักในการออกแบบดังนี้

      1.  หลัก ประการในการออกแบบหลักสูตร (7 Principles of Curriculum Design)
      -      Challenge and enjoyment (ค้นหาศักยภาพและความสุข) คือต้องออกแบบหลักสูตรให้นักเรียนได้ค้นหาศักยภาพและกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในการเรียนรู้
      -      Breadths (ความกว้าง) คือหลักสูตรที่ดีต้องเปิดกว้างในการเรียนรู้ เพราะว่าบางครั้งในการเรียนรู้มีแนวทางในการเรียนได้หลายทาง
      -      Progressions (ความก้าวหน้า) คือหลักสูตรต้องออกแบบมาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปสู้ความก้าวหน้าที่ผู้เรียนตั้งเป้าไว้
      -      Depths (ความลึกซึ้ง) คือหลักสูตรต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งสำคัญ คือ หลักสูตรต้องให้โอกาสนักเรียนได้ใช้
      -      Coherence (ความเกี่ยวข้อง) คือหลักสูตรที่ดีต้องมีเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องสนองกับบริบทที่จะนำหลักสูตรไปใช้
      -      Relevance (ความสัมพันธ์กัน) คือเนื้อหาในหลักสูตรต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับจุดประสงค์
      -      Personalization and choice (ความเป็นเอกลักษณ์และตัวเลือก) คือหลักสูตรที่ดีต้องให้นักเรียนได้ค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองและมีทางเลือกในการแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง

      2.  ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
                      เป็นหลักการเกี่ยวทักษะที่สำคัญที่ผู้เรียนพึงมีในศตวรรษที่21 ซึ่งหลักสูตรต้องส่งเสริมให้ผู้  เรียนได้มีทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่21 เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและสามารถนำใช้ชีวิตในสังคมศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งก็คือหลัก 7Cs หรือในปัจจุบันมีการรวมเข้ากับหลัก 3Rs ที่มีก่อนหน้า จนกลายเป็นหลัก 3Rs+7Cs ดังนี้
      3Rs
      -     Reading (อ่านออก)
      -     Writing (เขียนได้)
      -     Arithmetic (คิดเลขเป็น)
      7Cs
      -     Critical Thinking & Problem solving  คือทักษะในการคิดวิเคราะห์ หมายความว่าคุณต้องคิด เข้าใจ แก้ปัญหา
      -     Creativity & Innovation คือทักษะที่เมื่อคุณคิดวิเคราะห์แล้ว คุณต้องสร้างสรรค์ได้ หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ได้
      -     Cross-Cultural understanding คือทักษะที่เน้นความเข้าใจในกลุ่มคนในหลากหลายชาติพันธ์ เพราะเราเป็นสังคมโลก
      -     Collaboration Teamwork & leadership คือทักษะการทำงานเป็นทีม การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเป็นผู้นำ คือเนื่องจากหากเราทำงานคนเดียว จะมีความเป็นปัจเจกสูง โตขึ้นเราจะไม่สามารถที่จะยอมรับคนอื่นได้ ความคิดเห็นมีทั้งด้านถูกและผิด ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่มัน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นหาเราไม่ทำงานร่วมกันเป็นทีม แล้วเราจะขาดความสามัคคี ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศในขณะนี้
      -     Communication information and media literacy  คือความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการรู้จักข้อมูล ความสามารถในการเข้าใจสื่อ ซึ่งเป็นสาระที่สำคัญ เพราะในโลกของ Digital age ในปัจจุบันข้อมูลข่าวสาร มีมากมาย website มีเป็นร้อยพันล้านเว็บ ข้อมูลหลั่งไหลเข้ามา สิ่งดีๆจากคนสร้างดีๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกัน สิ่งไม่ดีจากคนไม่ดี ก็มีมากมาย เราในฐานะผู้บริโภคข้อมูลอยู่ตลอดเวลาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูล สื่อ และการสื่อสารต่อออกไปได้
      -     Computing and ICT literacy  คือความสามารถในยุคของ Digital age เราต้องใช้เครื่องมือ เราต้องมีความสามารถในการใช้เครื่อง เราหลีกเหลี่ยงไม่ได้  เทคโนโลยี ที่ช่วยเราให้สะดวกมากขึ้น ถ้าเราหนีได้ก็แล้วไป หากหนีมันไม่ได้เราก็จำเป็นต้องมีความสามารถในการใช้มัน
      -     Career and Life skill คือ ทักษะการใช้ชีวิต คือทักษะการประกอบอาชีพ แปลตามตัวอักษรนะ แต่ในความรู้สึกผม มันน่าจะหมายถึงทักษะที่เราจะใช้ชีวิตที่อยู่กับโลกนี้ มองโลกนี้เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่มองตัวเราเป็นศูนย์กลาง หมายถึงความรับผิดชอบต่ออาชีพชีวิต และสังคมของเรา
      จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นถ้าเราแบ่ง 7Cs ออกได้ 3 ส่วนด้วยกัน คือ
      -    ส่วนของการพัฒนาด้านความคิด (Critical Thinking Creativity Collaboration Cross-Culture)
      -    ส่วนของ( Literacy) คือ ความสามารถความเข้าใจ (Information Communication Media ICT Literacy)
      -    ส่วนของ (Life Skill) คือ มองโลกหรือคนอื่นรอบๆ เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่มองเราเป็นศูนย์กลาง

      3.  สี่เสาหลักของการศึกษา (The four Pillars of Education)
                    พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำอธิบายไว้ว่าหมายถึง หลักสำคัญ ๔ ประการของการศึกษาตลอดชีวิต ตามคำอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning: The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อ ค.ศ. ๑๙๙๕ ว่าการศึกษาตลอดชีวิตมีหลักสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่
      1.     การเรียนเพื่อรู้ คือการเรียนที่ผสมผสานความรู้ทั่วไปกับความรู้ใหม่ในเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง การเรียนเพื่อรู้หมายรวมถึงการฝึกฝนวิธีเรียนรู้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต
      2.     การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ และปฏิบัติงานได้ เป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมและในการประกอบอาชีพ ซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสภาพในท้องถิ่นหรือประเทศนั้น ๆ หรืออาจเป็นการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน โดยใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการเรียนในภาคทฤษฎีสลับกับการฝึกปฏิบัติงาน
      3.     การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่า มนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ โดยตระหนักในความแตกต่างหลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกันและสันติภาพ ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าคู่ควรแก่การหวงแหน
      4.    การเรียนรู้เพื่อชีวิต คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้น ดำเนินงานต่าง ๆ โดยอิสระยิ่งขึ้น มีดุลพินิจ และความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น การจัดการศึกษาต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของบุคคล เช่น ความจำ การใช้เหตุผล ความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ สมรรถนะทางร่างกาย ทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

      คำถามข้อที่ 3: How can these experiences are effectively organized? (Organize)


                      จากคำถามข้อที่ 3ที่กล่าวว่า จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาเหล่านั้นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพนั้นโดยการจัดเรียงลำดับประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) เป็นการประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เรียงตามลำดับขั้นตอน ต้องมีเนื้อหาครบทุกด้าน ทั้งด้านความคิด หลักการ ค่านิยม และทักษะ ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน และธรรมชาติของเนื้อหาที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งการกำหนดเนื้อหาสาระความรู้ต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้ จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ นั้นมีดังต่อไปนี้
      1.  มีความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน
      2.  การจัดช่วงลำดับ (sequence) หมายถึง หรือการจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
      3.  บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด ของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆ กัน ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม
                                      สุมิตร คุณากร (2523) กล่าวว่า  การนำหลักสูตรไปใช้เป็นการรวมกิจกรรม 3 ประเภท โดยได้อธิบายกิจกรรมทั้ง 3 ประเภทดังนี้
      1.     การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน  หลักสูตรระดับชาติจะกำหนดจุดหมาย เนื้อหาวิชา การประเมินผลไว้อย่างกว้างๆ ครูจึงไม่สามารถนำหลักสูตรไปสอนได้หากยังไม่มีการดัดแปลงให้เหมาะ
      2.     การจัดปัจจัยและสภาพต่างๆภายในโรงเรียนให้หลักสูตรบรรลุถึงเป้าหมาย  การนำหลักสูตรมาปฏิบัตินั้นเกิดขึ้นที่โรงเรียน ผู้บริหารควรสำรวจปัจจัยและสภาพต่างๆของโรงเรียนว่าเหมาะสมกับการนำหลักสูตรมาปฏิบัติหรือไม่
      3.     การสอนของครู  การเอาใจใส่ต่อการสอนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสม เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะชี้ชะตาหลักสูตรทั้งสิ้น ส่วนผู้บริหารก็ต้องคอยให้ความสะดวกและกำลังใจแก่ครู
                                      ดังนั้นจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงต้องจัดให้มีความสอดคล้องกับหลักสูตร ซึ่งสามารถทำ ได้โดยการออกแบบการแผนการจัดการเรียนรู้ โดยต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานดังต่อไปนี้
                    1. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้
                    2. ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนช่วงชั้น
                    3. วิเคราะห์หลักสูตร
                    4. ศึกษาธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้
                    5. ศึกษาการวัดผลและการประเมินผล
                    6. ศึกษาแหล่งเรียนรู้และสื่อ
                    7. ศึกษาองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
                    8. ศึกษาเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย
                    9. ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้
                   10.จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
      หลักในการจัดทำแผนการสอนว่ามีดังต่อไปนี้
      1.  ควรรู้ว่าสอนเพื่ออะไร
      2.  ใช้วิธีการสอนอย่างไร
      3.  สอนแล้วผลเป็นอย่างไร
      โดยองค์ประกอบของแผนการสอน ประกอบด้วย
                    1. สาระสำคัญ
                    2. จุดประสงค์การเรียนรู้
                    3. เนื้อหา/สาระการเรียนรู้
                    4. กิจกรรมการเรียนรู้
                    5. การวัดและประเมินผล (มีเกณฑ์การวัดผลที่ชัดเจน)
                    6. สื่อและแหล่งเรียนรู้
                    7. ความคิดเห็นของผู้บริหาร/ผู้นิเทศ
                    8. บันทึกผลหลังสอน




      คำถามข้อที่ 4: How can we determine when the purposes are met? (Evaluation)


                      จากคำถามข้อที่ 4 มีความหมายว่า เราจะมีวิธีการประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไรจึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งจะคำถามนี้จะตรงกับหลักการประเมิน (Evaluation) โดยกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมีการจัดการประเมินผลออกเป็น 2 ด้าน คือ
      1.    การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
      2.    การประเมินหลักสูตร
      การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
                      การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้สอนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเกณฑ์การกำหนดคุณภาพของ Bloom หรือ Bloom’s Taxonomy ซึ่งหากศึกษาดูแล้วเราจะพบว่า Bloom’s Taxonomy นั่นมีแนวโน้มที่จะถูกใช้โดยผู้สอนเสียเป็นส่วนมาก แต่ถ้าหากการกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของผู้เรียนนั้นมีผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดด้วยแล้ว หลักการที่จะต้องพูดถึงนั่นก็คือ SOLO Taxonomy ซึ่งเป็นการกำหนดระดับผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยที่ไม่มุ่งเน้นเฉพาะแค่การสอนและการให้คะแนนจากผลงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการประเมินผลที่ให้ความสำคัญว่า ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้อย่างไร และผู้สอนมีวิธีการอย่างไรที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการทางปัญญาที่มีความซับซ้อนและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
      ·       Bloom’s Taxonomy
                              การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจำเป็นต้องมีการกำหนดคุณภาพการเรียนรู้โดยเกณฑ์การกำหนดคุณภาพที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายคือ Bloom’s Taxonomy โดยแบ่งระดับการเรียนรู้ออกเป็น 6 ระดับ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ Bloom’s Taxonomy แบบดั้งเดิม” จนกระทั่งปี 1990 นักจิตวิทยากลุ่มใหม่ นำโดย Lorin Anderson (ศิษย์ของ Bloom) ได้ทำการปรับปรุงกลุ่มพฤติกรรมขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้นำคำกริยามาใช้ในการกำหนดระดับการเรียนรู้แทนคำนามตามแบบดั้งเดิมที่ Bloom ได้เคยกำหนดไว้ กล่าวโดยสรุปคือ Bloom’s Taxonomy แบบใหม่” เป็นการเปลี่ยนจากนามเป็นกริยาเพื่ออธิบายระดับที่แตกต่างกันของกลุ่มพฤติกรรรม


      ·       SOLO Taxonomy
                              SOLO Taxonomy หรือ The Structure of Observed Learning Outcome Taxonomy จึงเป็นแบบ (Model) ที่ใช้ในการใช้ระบุ บรรยาย หรืออธิบาย ระดับความเข้าใจอันซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของผู้เรียนในสาระหรือรายวิชา ซึ่งผู้เสนอแนวคิดนี้จนกลายเป็นที่นิยมคือ John B. Biggs และ Kelvin Collis (1982) แบบของ SOLO Taxonomy ประกอบด้วยระดับความเข้าใจ ระดับ ดังนี้


      1.  Pre-structural (ระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐาน)
                      ในระดับนี้ผู้เรียนจะยังคงไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริง และยังคงใช้วิธีการง่ายๆในการทำความเข้าใจสาระเนื้อหา เช่น ผู้เรียนรับทราบแต่ยังคงพลาดประเด็นที่สำคัญ
      2.  Uni-structural (ระดับมุมมองเดียว)
                      การตอบสนองของผู้เรียนจะมุ่งไปที่มุมมองที่เกี่ยวข้องเพียงมุมมองเดียว เช่น สามารถระบุชื่อได้ จำได้ และทำตามคำสั่งง่ายๆได้
      3.  Multi-structural (ระดับหลายมุมมอง)
                      การตอบสนองของผู้เรียนจะมุ่งเน้นไปที่หลายๆมุมมองโดยการปฏิบัติต่อผู้เรียนจะเป็นไปอย่างอิสระ เช่น สามารถอธิบายได้ ยกตัวอย่างได้ หรืออาจเชื่อมโยงได้
      4.  Relational (ระดับเห็นความสัมพันธ์)
                      การบูรณาการความสัมพันธ์ต่างๆเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เช่น ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ระบุความแตกต่าง แสดงความสัมพันธ์ อธิบายเชิงเหตุผล และ/หรือนำไปใช้ได้
      5.  Extended abstract (ระดับขยายนามธรรม)
                      จากขั้นบูรณาการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน จากนั้นจึงมาสู่การสร้างเป็นแนวคิดนามธรรมขั้นสูง หรือการสร้างทฤษฎีใหม่ เช่น การสร้างสรรค์ สะท้อนแนวคิด สร้างทฤษฏีใหม่ เป็นต้น
      การประเมินหลักสูตร
                      การประเมินหลักสูตรแบ่งออกได้ ขั้นตอน ดังนี้
      1.  ขั้นพัฒนาหลักสูตร เป็นขั้นตอนการประเมินโครงร่างหลักสูตร
      -          โครงสร้างหลักสูตร
      -          ความมุ่งหมายของหลักสูตร
      -          เนื้อหา
      -          กิจกรรมการเรียนการสอน
      -          อุปกรณ์ สื่อการสอน
      -          การประเมินผลการเรียนการสอน
      -          บรรยากาศในการเรียน
      -          สิ่งแวดล้อมในสถาบันการศึกษา
      2.  ขั้นการใช้หลักสูตร  เป็นขั้นตอนการประเมินหลักสูตรที่ใช้จริง
      -          ประเมินในระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร (Formative evaluation)
      -          ประเมินจุดเด่นและจุดด้อยของหลักสูตร
      -          การจัดการเรียนการสอน
      -          การบริหารหลักสูตร
      3.  ขั้นผลิตผลของหลักสูตร  เป็นขั้นตอนของการประเมินติดตามผล
      -          คุณภาพของบัณฑิต
      -          การทำงานของบัณฑิต
      -          ความพึงพอใจและความต้องการของนายจ้าง
                                      เมื่อคณะกรรมการร่างหลักสูตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนำหลักสูตรไปใช้จะต้อง          ตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร เพื่อศึกษาความเป็นไปได้พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขบางส่วนก่อน               นำไปใช้จริง การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรทำได้หลายวิธี เช่น
      -          วิธีการประชุมสัมมนา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นตรวจสอบ
      -          วิธีตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรโดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi technique)
      -           การทดลองใช้หลักสูตรนำร่อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของหลักสูตร มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการทดลองใช้หลักสูตรแต่ละระยะอย่างมีระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลนำมาสังเคราะห์ สำหรับการปรับแก้ก่อนจะนำไปใช้ต่อไป

      แหล่งอ้างอิง

      ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล.  (ม.ป.ป.).  การพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ.

             กรุงเทพฯอักษรบัญฑิต.
                                                                                                                                     จัดทำโดย
      นาย ทิวานนท์  โพธิ์โต
      สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ
      365120251018